ทิศทางราคาทองปี 68 มีโอกาสลุ้นแตะ 50,000 บาท

นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ ฟิวเจอร์ส เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกของปีนี้ มีโอกาสจะได้เห็นราคาทองคำสปอต 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ บนพื้นฐานการปรับตัวอ่อนค่าของเงินบาทที่อาจแตะระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำขายออกในประเทศ มีโอกาสถึง 50,000 บาทต่อ 1 บาททองคำในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ โดยยังมีปัจจัยจากต่างประเทศ เช่น ธนาคารกลางต่างๆ ทยอยซื้อทองคำสะสมรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าสหรัฐ

ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางของจีน ได้ทยอยซื้อทองคำเพิ่มเพื่อเข้ามาเป็นทุนสำรอง หลังจากมีความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐ ที่นำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ทำให้ธนาคารกลางประเทศหลัก เช่น จีน แคนาคา หรือยุโรป ได้มีแรงซื้อทองคำรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจีน ได้มีแรงซื้อทองคำเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมา และยังซื้อสะสมต่อแม้ราคาทองคำสปอตจะอยู่ที่ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

จีนพยายามทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า ทำให้ราคาสินค้าถูกลง เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นในเอเชียที่อ่อนค่า และถ้าทองคำสปอตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และค่าเงินบาทอ่อนค่า 35.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสพุ่งสูงถึง 50,000 บาท จากราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 43,000-44,000 บาท

นายวรุต กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ราคาทองคำอาจยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่พอนโยบายทรัมป์ที่จะออกมาในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น โดยแนวรับราคาทองคำโลกสปอต 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำในประเทศ 42,000 บาท และแนวรับต่อมา ทองคำสปอต 2,220 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ 40,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหรือลงทุน จากในปีที่ผ่านมาราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44,000 บาท

ราคาทองคำยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น นักลงทุนระยะยาวควรหาจังหวะทยอยซื้อสะสม อาศัยจังหวะที่ราคาย่อตัว ส่วนสายเก็งกำไรยังมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบ มีการแกว่งตัวด้วยข่าวสารที่มีผลต่อราคาทองคำ เช่น แนวโน้มดอกเบี้ย, นโยบายทรัมป์ และแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางประเทศต่างๆ

นายวรุต กล่าวว่า หากเปรียบเทียบระหว่างทองคำกับสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนในปีที่ผ่านมาสูง โดยราคาทองคำสร้างผลตอบแทนมากถึง 27% ขณะที่ผลตอบแทนคริปโตสูงกว่านั้น แต่คริปโตมีความผันผวนมากกว่า ซึ่งต้องติดตามดูว่าธนาคารกลางต่างๆ มีมุมมองต่อคริปโตอย่างไร หลังจากการเข้ามาของทรัมป์ มีแนวคิดให้สหรัฐเป็นศูนย์กลางของคริปโตซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางต่างๆ เปลี่ยนมุมมองได้ และอาจทำให้ทองคำถูกลดความน่าสนใจลงได้

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคริปโตเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ในขณะที่ทองคำได้รับความนิยมค่อนข้างยาวนาน แตกต่างจากคริปโตที่เป็นกระแส โดยมองว่าคริปโตมีความเสี่ยง เรื่องค่าเสื่อมของมูลค่าที่ลดลง หรืออาจไม่มีมูลค่า แต่ทองคำมีมูลค่าหน้าเหมือง และทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แม้จะเกิดวิกฤติกี่รอบ ราคาทองคำยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ ส่วนประเภทของนักลงทุนที่ลงทุนทองคำมีความหลากหลาย แตกต่างจากคริปโตที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กในรุ่นเจนแซด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *